วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ระบบต่าง ๆ ของกล้องดิจิตอล

1. การกำหนดขนาดภาพ (Image Size)ขนาดภาพของกล้องดิจิตอล คือ จำนวน Pixels ในภาพที่บันทึกลงบนการ์ดเก็บข้อมูล ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 3 รูปแบบใหญ่ ๆ คือ
1. จำนวน Pixels บน Image Sensor หมายถึงจำนวน Pixels ทั้งหมดที่อยู่บน Image Sensors
2. จำนวน Pixels ที่ถูกใช้งานในการบันทึกภาพ จะเรียกว่า Effective Pixels จำนวน Effective Pixels จะน้อยกว่าจำนวน Pixels ทั้งหมดบน Image Sensor บางครั้งเราเรียกว่า Optical Resolution
3. จำนวน Pixels ที่บันทึกลงบนภาพ มักเรียกว่า Recording Pixels หรือ Output Pixels เป็นจำนวน Pixelsจริงที่จะถูกบันทึกลงบนการ์ดเก็บข้อมูลโดยจะมีจำนวนใกล้เคียงกับ Effective Pixels แต่กล้องบางตัวอาจจะมี Recording Pixelsมากกว่า Effective Pixels ถึง 1.5 หรือ 2 เท่า ซึ่งจำนวน Pixels ที่เพิ่มขึ้นมานั้น ได้จากการจำลองข้อมูลจาก Effective Pixels ขึ้นมา เพื่อให้ภาพมีจำนวน Pixels มากขึ้น แต่คุณภาพโดยรวมจะไม่เพิ่มขึ้น
โดยปกติการเลือกซื้อกล้องดิจิตอลหรือการเลือกขนาดความละเอียดของภาพมาใช้งาน จะพิจารณาจากจำนวน Effective Pixels กล้องที่มีจำนวน Effecive Pixels มากมีแนวโน้มว่าจะมีคุณภาพดีกว่ากล้องที่มีจำนวน Effecive Pixels น้อย แต่ทั้งนี้ ขึ้นกับขนาดของ Image Sensor ขนาดของ Photo detector ความลึกสี ระบบประมวลผล เลนส์ และส่วนประกอบอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน

กล้องดิจิตอลส่วนใหญ่จะเลือกจำนวน Pixels ในการถ่ายภาพได้หลายค่า เช่น กล้องขนาด 5 ล้านพิกเซล อาจจะเลือกถ่ายภาพได้ที่ 5 ล้านพิกเซล, 3 ล้านพิกเซล, 1ล้านพิกเซล, และ 7 แสนพิกเซล โดยทั่วไป เราสามารถเข้าไปเลือกความละเอียดของภาพได้โดยการเข้าไปที่ Menu (หรือ Setting) แล้วเข้าไปที่ Image Size (หรือ Quality) จะปรากฏเมนูในการตั้งความละเอียดของภาพขึ้นโดยทั่วไป ภาพที่มีจำนวน Pixels มาก จะสามารถนำไปขยายภาพขนาดใหญ่ได้ดีกว่าภาพที่มีจำนวน Pixels น้อย ให้ความคมชัด ความละเอียดที่ดีกว่า ภาพแตกเป็นสี่เหลี่ยมได้ยากกว่า แต่จำนวน Pixels ที่มากกว่า ก็ต้องใช้เนื้อที่ของหน่วยความจำในการเก็บข้อมูลมากกว่า สิ้นเปลืองพลังงานในการประมวลผลมากกว่า กล้องทำงานช้ากว่า ทั้งการเก็บข้อมูลและการเรียกดูภาพบนการ์ดเก็บข้อมูล การตั้งความละเอียดไว้สูงสุดอาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดในการบันทึกภาพด้วยกล้องดิจิตอล เรามีวิธีในการเลือกความละเอียดของภาพโดยพิจารณาจากการนำภาพไปใช้งาน 1. ถ้าต้องการถ่ายภาพเพื่อส่ง E-Mail หรือใช้ทำ Presentation ้ในคอมพิวเตอร์ ความละเอียด 1 ล้านพิกเซลถือว่าเพียงพอ 2. ต้องการไปใช้งานพิมพ์ งานอัดขยายภาพด้วยเครื่อง Printer คุณภาพสูง (Photo Quality) ควรดูว่าจะขยายภาพขนาดเท่าไร จากนั้นเอาขนาดภาพคูณด้วย 300 จะได้ขนาดของภาพที่ควรตั้ง เช่น ขยายภาพขนาด 4x6 นิ้ว ควรตั้งที่ความละเอียด 4x300 , 6x300 = 1200x1800 pixels = 2.16 ล้านพิกเซลถ้าอัตราขยายภาพสูงมาก ๆ แต่กล้องไม่สามารถตั้งความละเอียดตามที่ต้องการได้ ควรตั้งความละเอียดไว้ที่สูงสุดเท่าที่กล้องจะสามารถทำได้ แต่ต้องทำใจเอาไว้นิดหน่อยว่า ภาพอาจจะแตกและคุณภาพไม่ดีนัก เมื่อมองในระยะใกล้ 3. ใช้งานพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์แบบ Inkjet ให้ใช้ขนาดภาพที่ต้องการใช้งานคูณด้วย 150 แต่ถ้าเป็นเครื่อง Inkjet ที่มีความละเอียดสูงมาก ๆ ต้องคูณด้วย 300 กล้องดิจิตอลระดับ Consumer ในปัจจุบันมีความละเอียดประมาณ 3 ล้านพิกเซล สามารถอัดขยายภาพขนาด 4x6 นิ้ว (4R) จนถึง 8x10 นิ้ว (8R) ได้อย่างมีคุณภาพ ส่วนกล้องระดับ Prosumer มีความละเอียดประมาณ 4-5 ล้านพิกเซล สามรถขยายภาพขนาด A4 (8.25x11.5 นิ้ว) ได้ และกล้องดิจิตอลระดับ Pro. ความละเอียด 6 ล้านพิกเซลสามารถขยายภาพขนาด A4 ถึง 10x15 นิ้วได้สบาย ๆ โดยเฉพาะรูปที่ถ่ายในระยะใกล้ เช่น รูปสินค้า รูปบุคคลครึ่งตัว แต่ถ้าเป็นรูประยะไกลซึ่งต้องการความละเอียดสูงมาก ๆ จะยังทำได้ไม่ดีเท่าไรนัก









2. การกำหนดคุณภาพของภาพ (Image Quality)
กล้องดิจิตอลโดยทั่วไปจะเก็บภาพเป็น Photoshop TIFF File, JPEG File หรือ RAW Files คุณภาพของภาพที่ได้จากไฟล์แบบต่างๆ จะมีคุณภาพแตกต่างกันออกไป ซึ่งเราเรียกคุณภาพที่แตกต่างกันจากการรูปแบบการเก็บภาพนี้ว่า Image Quality สามารถเข้าไปตั้งค่า Image Quality ได้โดยการเข้าไปที่ Menu (หรือ Setting) แล้วเข้าไปที่ Image QualityImage Quality มักจะแบ่งออกเป็นระดับคือ

1. High จะเก็บภาพแบบ TIFF File 8 bit/color ซึ่งจะไม่มีการบีบอัดข้อมูล ทำให้ได้คุณภาพสูงสุดจากกล้องตัวนั้น แต่จะใช้เนื้อที่การเก็บภาพมาก ไฟล์มีขนาดใหญ่ ประมวลผลช้า เปลืองพลังงาน และทำให้ใช้ระบบถ่ายภาพบางอย่างไม่ได้ หรือได้น้อยลง เช่น ระบบถ่ายภาพต่อเนื่อง เป็นต้น เหมาะสำหรับการเก็บภาพที่ต้องการคุณภาพสูงสุด

2. Fine , Normal , Basic จะเก็บภาพในรูปแบบของ JPEG File 8 bit/color ซึ่งมีการบีบอัดข้อมูล ทำให้เกิดการสูญเสียคุณภาพของภาพไป โดยที่ Fine จะบีบอัดข้อมูลน้อยที่สุด ไฟล์มีขนาดใหญ่กว่า และ Basic บีบอัดข้อมูลมากที่สุด และไฟล์มีขนาดเล็กที่สุด โดยทั่วไป หากใช้ภาพเพื่องานอัดขยาย แนะนำให้ตั้ง Fine แต่ถ้าต้องการเก็บภาพลง CD หรือใช้กับคอมพิวเตอร์ แนะนำให้ใช้ Normal และถ้าต้องการใช้ส่ง E-Mail แนะนำให้ใช้ Basic ทั้งนี้ขึ้นกับขนาดของการ์ดเก็บข้อมูลและจำนวนภาพที่ต้องการบันทึก

3. RAW เป็นไฟล์เฉพาะซึ่งต้องอาศัยโปรแกรมเฉพาะของกล้องในการเปิด ไม่สามารถใช้โปรแกรมทั่วไปในการเปิดได้ RAW File เป็นข้อมูลดิจิตอลที่มาจาก Image Sensor ไม่ผ่านการปรับแต่งใด ๆ จาก Processor ของตัวกล้อง ทำให้ได้คุณภาพที่แท้จริงจากกล้องตัวนั้น ๆ โดยเฉพาะเรื่องการไล่ระดับโทนสี หรือ Bit Depth กล้องดิจิตอลในปัจจุบันจะมีความลึกสีประมาณ 12 bit/color แต่เมื่อเก็บภาพเป็น TIFF File จะถูกบีบลงเหลือ 8 bit/color เท่านั้น การเก็บเป็น RAW File จึงให้จำนวนเฉดสีที่มากกว่า เมื่อเปิดด้วย Software เฉพาะ จะสามารถปรับแต่งสี ความคมชัด และคุณภาพอื่น ๆ ได้ จากนั้นถึงจะเปลี่ยน RAW File เป็น TIFF หรือ JPEG เพื่อนำไปใช้งานอื่น ๆ ต่อไป

มืออาชีพจำนวนมากที่นิยมถ่ายภาพด้วย RAW FILE และเก็บภาพต้นฉบับลง CD แบบ RAW FILES เนื่องจากไม่สูญเสียคุณภาพ โดยเฉพาะความลึกสี (Bit Depth) สามารถใช้ Software ในการปรับคุณภาพภายหลังได้ ปรับภาพได้หลากหลายรูปแบบ และแก้ไขใหม่ได้ถ้าไม่พอใจ และถ้าภายหลังมี software รุ่นใหม่ออกมา ก็จะทำให้ภาพมีคุณภาพดีขึ้นด้วย ในขณะที่การเก็บแบบ TIFF FILE หรือ JPEG ไม่สามารถปรับเปลี่ยนคุณภาพของภาพในภายหลังได้ เมื่อจะใช้งาน จึงค่อยแปลง RAW FILES เป็น TIFF หรือ JPEG









3. การตั้งความไวแสง
กล้องดิจิตอลไม่มีความไวแสงที่แท้จริงความไวแสงที่มีให้ปรับตั้งนั้นเป็นความไวแสงเทียบเคียง (ISO Equivalent) เมื่อเทียบกับฟิล์มถ่ายภาพ ความไวแสงของกล้องดิจิตอลจะสามารถปรับตั้งได้หลายค่า มีตั้งแต่ ISO 100 ไปจนถึง ISO 3200 แล้วแต่รุ่นกล้องความไวแสงสูงจะช่วยให้สามารถใช้ขนาดช่องรับแสงแคบและความเร็วชัตเตอร์สูงมาก ๆ ได้ ถ่ายภาพในสภาพแสงน้อยได้สะดวกการตั้งความไวแสงของกล้องดิจิตอล ส่วนใหญ่จะอยู่ที Menu > ISO

่แต่ก็จะเกิดปัญหาภาพมีสัญญาณรบกวนสูง เนื่องจากการเพิ่มความไวแสง กล้องจะต้องเพิ่มสัญญาณไฟฟ้าเข้าไปในระบบ ทำให้สัญญาณรบกวนสูงตามไปด้วย ผู้ผลิตกล้องดิจิตอลปัจจุบันพยายามแก้ปัญหาสัญญาณรบกวน โดยการออกแบบวงจรหรือใช้ระบบประมวลผล เพื่อลดสัญญาณรบกวนลงให้เลือกน้อยที่สุด ผลจากสัญญาณรบกวนทำให้ภาพขาดความคมชัด สีไม่อิ่มตัว คล้าย ๆ กับเกรนแตกในฟิล์มความไวแสงสูง จะเห็นได้ชัดบริเวณส่วนสีทึบหรือส่วนมืดของภาพ

ควรใช้ความไวแสงต่ำที่สุดเท่าที่ยังสามารถถ่ายภาพได้ในขณะนั้น จะได้ภาพที่ดีที่สุด





5. การตั้งระดับความคมชัด
กล้องดิจิตอลบางรุ่นสามารถตั้งความคมชัดของภาพได้หลายระดับ โดยการเข้าไปที่ Menu > Sharpness สามารถเลือกความคมชัดได้ 3 ระดับคือ Normal คมชัดปานกลาง, Soft ไม่ปรับความคมชัด และ Hard (Sharp) ปรับความคมชัดสูงสุด โดยปกติจะปรับความคมชัดเอาไว้ที่ Normal ยกเว้นการถ่ายภาพบุคคลที่ต้องการความนุ่มนวล จะปรับเอาไว้ที่ Soft และถ้าเป็นภาพสินค้า ภาพวิว หรือภาพในระยะไกล จะปรับความคมชัดเอาไว้ที่ Hardความคมชัดของกล้องดิจิตอลเกิดจากการใช้ Software เมื่อสั่งเพิ่มความคมชัดมาก ๆ จะเกิดขอบคล้าย ๆ กับการใช้คำสั่ง Sharpen ใน Filter ของ Photoshop



6. ความอิ่มตัวของสี (Color Saturation)
ในกล้องดิจิตอลระดับกลางบางรุ่น และกล้องดิจิตอลระดับมืออาชีพ สามารถตั้งความอิ่มตัวของสีได้ โดยการเข้าไปที่ Menu > Color ระดับความอิ่มตัวของสีจะมีให้เลือก 4 ระดับคือ High ความอิ่มตัวของสีสูงสุด, Normal ความอิ่มตัวของสีปานกลาง, Original ไม่มีการปรับความอิ่มตัวของสี และ B&W ภาพขาวดำ

โดยปกติจะตั้งความอิ่มตัวของสีเอาไว้ที่ Normal ยกเว้นกับภาพที่ต้องการความจัดจ้านของสีมาก ๆ จะตั้งไว้ที่ High ภาพบุคคลมักตั้งเอาไว้ที่ Original เพื่อไม่ให้สีผิวจัดจ้านเกินไป และถ้าต้องการภาพขาวดำตั้งที่ B&W

การปรับความอิ่มตัวของสีมาก ๆ จะทำให้การไล่ระดับโทนสีของภาพลดลงเล็กน้อย สีผิวจะเปลี่ยนไป และภาพดูกระด้างขึ้นในบางภาพ เหมาะกับการถ่ายภาพวิว หรือภาพสินค้าที่ต้องการสีสด ๆ


การตั้งระดับความเปรียบต่าง (Contrast, Tone)
กล้องดิจิตอลในรุ่นปานกลางถึงรุ่นสูงจะสามารถตั้งค่าความเปรียบต่างของภาพได้ โดยการเข้าไปที่ Menu>Contrast โดยปกติ ค่าความเปรียบต่างจะถูกตั้งไว้ที่ Normal หรือปานกลาง ผู้ใช้สามารถลดหรือเพิ่มความเปรียบต่างของภาพได้ โดยการเลือกไปที่ High หรือ Low

การปรับตั้งความเปรียบต่างจะมีประโยชน์มาก โดยเฉพาะการถ่ายภาพนอกสถานที่ซึ่งไม่สามารถควบคุมความแตกต่างของแสงได้ ผู้ใช้สามารถตั้งความเปรียบต่างของภาพที่กล้องเพื่อชดเชยความเปรียบต่างที่มากหรือน้อยเกินไปของสภาพแสงได้ เช่น ถ่ายภาพในสภาพแสงครึ้มฟ้าครึ้มฝน ความแตกต่างของแสงในส่วนมืดและส่วนสว่างจะน้อยมาก ภาพที่ได้จะมีความเปรียบต่างต่ำ ส่วนขาวไม่ขาว และส่วนดำไม่ดำ ภาพดูเทาไปหมดทั้งภาพ เราสามารถแก้ไขโดยการเพิ่มความเปรียบต่างของภาพไปที่ High ความเปรียบต่างของภาพจะสูงขึ้น ภาพมีสีสันดีขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากไปถ่ายภาพที่มีความแตกต่างของแสงสูงมาก ๆ เช่น การถ่ายภาพในอาคารย้อนออกไปภายนอก ความแตกต่างของแสงส่วนมืดและสว่างจะสูงมาก ทำให้ส่วนขาวและส่วนมืดไม่มีรายละเอียด สามารถแก้ไขได้โดยการปรับความเปรียบต่างที่ตัวกล้องไปที่ Low กล้องจะลดความเปรียบต่างของภาพลด และได้รายละเอียดในส่วนมืดและสว่างมากยิ่งขึ้น

การตั้งความเปรียบต่างให้เหมาะสมกับภาพแต่ละลักษณะเป็นประโยชน์มากในการใช้งานกล้องดิจิตอล และเป็นสิ่งที่ทำให้กล้องดิจิตอลได้เปรียบกล้องใช้ฟิล์ม เพราะฟิล์มไม่สามารถเปลี่ยนความเปรียบต่างไปมาในแต่ละภาพได้ ต้องไปเปลี่ยนในขั้นตอนการอัดขยายภาพโดยการเลือกความเปรียบต่างของกระดาษ

1 ความคิดเห็น: